ธุรกิจ ความหมายโดยทั่วไปหมายถึงการดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหากำไร อาทิ การขุดทรัพยากรแร่จากใต้ดินมาแปรสภาพให้เป็นสินค้าเช่นน้ำมันหรืออัญมณี การใช้เครื่องจักรผลิตสินค้าต่าง ๆ ขายให้แก่ผู้ต้องการนำไปใช้ ฯ
แต่ ในบางครั้งมีผู้ใช้คำว่าธุรกิจโดยหมายความถึงการดำเนินงานทั่ว ๆ ไป เช่นกล่าวว่าธุรกิจของมหาวิทยาลัยคือการให้การศึกษาระดับอุดมศึกษา
è การดำเนินงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหากำไร + การดำเนินงานอื่น ๆ รวมถึง
พาณิชยกรรม (commerce)
อุตสาหกรรม (industry)
การบริการ (service)
สาธารณูปโภค (utiilities)
ระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการดำเนินงาน
1) ระบบประมวลผลรายการเปลี่ยนแปลง (Transaction Processing System , TPS)
การใช้คอมพิวเตอร์ในระดับพื้นฐานที่สุดคือการใช้ติดตามกิจกรรมธุรกิจประจำวัน เช่น การขาย การรับเงิน การซื้อขายวัตถุดิบ การตัดสินใจเกี่ยวกับเครดิตลูกค้า การจัดส่งวัตถุดิบและสินค้าในโรงงาน ระบบเหล่านี้ช่วยในการบันทึกรายการปรับปรุง (transaction) ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานธุรกิจ
ระบบประมวลผลรายการปรับปรุงนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นระบบธุรกิจพื้นฐานของหน่วยงานธุรกิจต่าง ๆ ระบบนี้บันทึกกิจกรรมประจำทางธุรกิจต่าง ๆ เช่น การนำเงินรายรับฝากเข้าบัญชีธนาคาร การบันทึกการหักภาษีและจ่ายค่าภาษี การบันทึกการจ่ายเงินเดือนและหักค่าประกันสังคม หากเป็นโรงพยาบาลก็จะบันทึกเวชระเบียน การสั่งจ่ายยา การคิดเงินค่ายา ฯลฯ ระบบนี้หากจัดทำขึ้นเป็นระบบคอมพิวเตอร์ก็จะสามารถช่วยในการบันทึก ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินธุรกิจได้ รวมแล้วมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานและการบริหารทั้งระดับล่างและระดับบน แต่ส่วนใหญ่แล้วผลลัพธ์ที่ได้จากระบบนี้จะมีประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานระดับล่างหรืองานประจำวันมากกว่า
2) ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System, MIS) เป็นระบบที่จัดทำ
ขึ้นเพื่อนำข้อมูลต่าง ๆ จากระบบประมวลผลรายการปรับปรุงมาจัดทำเป็นรายงานสารสนเทศสำหรับส่งให้ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจ หรือใช้ในการจัดการต่าง ๆ รายงานสารสนเทศนั้นอาจแบ่งเป็นรายงานสรุปโดยจำแนกลักษณะการสรุปตามแต่ผู้บริหารจะเห็นสมควร แบ่งเป็นรายงานกรณีพิเศษ (exceptional report) ซึ่งมีสารสนเทศเกี่ยวกับความผิดปกติของการดำเนินงานไม่ว่าจะเป็นทางบวกหรือทางลบ รายงานแนวโน้มแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมนั้นมีลักษณะอย่างไรตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมีประโยชน์อย่างมากต่อการบริหารงานเพราะช่วยให้ผู้บริหารมองเห็นส่วนที่เป็นปัญหา หรือโอกาสได้อย่างรวดเร็ว และสามารถสนองตอบต่อปัญหาหรือโอกาสนั้นได้อย่างถูกต้องมากขึ้น
3) ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหาร (Executive Information system,EIS) เป็นระบบสารสนเทศที่จัด
ทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงใช้ โดยปกติแล้วระบบนี้มักจะจัดทำขึ้นหลังจากพัฒนาระบบ MIS แล้ว นั่นคือเมื่อมีระบบ MIS ไว้ใช้งานแล้ว หน่วยงานนั้นก็จะมีรายงานสารสนเทศต่าง ๆ สำหรับเสนอให้ผู้บริหารไว้ใช้งาน
รายงานเหล่านี้หากจัดทำเป็นรายคาบเช่นจัดทำขึ้นทุกเดือน ข้อมูลที่ปรากฏในรายงานก็จะมีความ
ถูกต้องเพียงเฉพาะในวันที่จัดทำรายงานนั้นเท่านั้น ต่อมามาเมื่อเกิดรายการปรับปรุงอื่น ๆ ขึ้น รายงานนั้นก็จะเกิดความคลาดเคลื่อน
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คิดจัดทำรายงานสรุปและรายงานอื่น ๆ ที่ผู้บริหารสนใจ เก็บไว้ในฐานข้อมูลพิเศษที่ผู้บริหารจะค้นดูได้โดยใช้เครื่องปลายทาง วิธีนี้จะช่วยให้ผู้บริหารตรวจสอบหรือค้นดูสารสนเทศเกี่ยวกับการดำเนินงานของหน่วยงานหรือบริษัทได้เป็นประจำและจะได้สารสนเทศที่มีความถูกต้องแม่นยำอยู่เสมอหากมีการจัดทำสารสนเทศสรุปไว้ตลอดเวลาเช่นกัน
4) ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support System, DSS) เป็นระบบสำหรับช่วยให้ผู้บริหาร
ทดสอบการตัดสินใจของตนเองได้ว่า หากตัดสินใจเช่นนั้น ๆ จะเกิดอะไรขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงนิยมเรียกระบบ
นี้ว่าเป็นระบบวิเคราะห์เงื่อนไข (what if?)
หากย้อนกลับไป TIS มีประโยชน์ตรงช่วยให้ผู้บริหารและผู้ปฎิบัติงานทราบสถานการณ์โดยทั่วไปของหน่วยงานหรือบริษัทแต่ระบบนี้ไม่ได้ระบุส่วนที่เป็นปัญหาหรือโอกาสให้ผู้บริหารทราบโดยตรง
ส่วนระบบ MIS และ EIS นั้นสามารถช่วยระบุส่วนที่เป็นปัญหาหรือโอกาสได้โดยรายงานกรณีพิเศษประเภทยกเว้น หรือรายการการพยากรณ์ เมื่อทราบปัญหาหรือโอกาสแล้วผู้บริหารต้องมีความสามารถจึงจะแก้ปัญหาหรือจัดการกับโอกาสนั้นได้ ระบบไม่สามารถบอกได้ว่าควรจะดำเนินการแก้ปัญหาอย่างไรผู้บริหารอาจคิดแก้ปัญหาได้หลายวิธี แต่อาจไม่ทราบว่าแต่ละวิธีจะใช้ได้ผลดีหรือไม่เพียงใด ในกรณีเช่นนี้หากผู้บริหารมีระบบ DSS แล้วผู้บริหารก็อาจใช้ระบบนี้ทดสอบได้ว่าหากใช้วิธีการแก้ปัญหาแต่ละวิธีจะทำให้เกิดผลเช่นใด เมื่อทดสอบเสร็จแล้วผู้บริหารก็อาจเลือกใช้วิธีแก้ปัญหาที่เหมาะสมได้
โครงสร้างหลักของ DSS ประกอบด้วยระบบฐานข้อมูล ระบบจัดการตัวแบบการตัดสินใจ ซึ่งใช้เก็บรูปแบบ (model) ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการดำเนินงานของหน่วยงานหรือบริษัท และระบบจัดการโต้ตอบ
5) ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System,ES) ระบบนี้เป็นการประยุกต์คอมพิวเตอร์ที่เกิดจากความ
ก้าวหน้าทางด้านปัญญาประดิษฐ์ (artificial Intelligence, AI) ซึ่งเน้นในด้านการทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานเหมือนมนุษย์โดยเฉพาะในด้านการใช้สมอง ตัวอย่างก็คือการทำให้คอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์จนถึงขั้นสนทนาโต้ตอบได้ คิดหาเหตุผลได้ การทำให้คอมพิวเตอร์แก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้เอง
ผลงานวิจัยทางด้านนี้เริ่มประสบความสำเร็จเมื่อมีการจัดทำระบบผู้เชียวชาญ ระบบนี้เก็บความรู้และประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ไว้อย่างเป็นระบบในฐานความรู้ และมีส่วนสำหรับรับทราบข้อมูลอันเป็นปัญหาที่ต้องการให้ออกความเห็น เพื่อนำมาอนุมานหาคำตอบโดยใช้ความรู้ที่เก็บเอาไว้ในฐานข้อมูลนั้น
6) ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation System, OAS) เป็นระบบที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยให้
การปฏิบัติงานในสำนักงานต่าง ๆสะดวกขึ้น
ประโยชน์ของการใช้คอมพิวเตอร์ในงานธุรกิจ
1. การประหยัดต้นทุน
- งานบริหารสินค้าคงคลัง (inventory management)
2. การเพิ่มผลิตภาพ
- เครื่องจักรที่ใช้คอมพิวเตอร์ทำงานมาควบคุมการผลิตชิ้นงานได้มาก มีชิ้นงานเสียหายน้อยลงกว่าเมื่อใช้คนหรือเครื่องจักรธรรมดา
3. การเพิ่มบริการ (การบริการเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจ)
คอมพิวเตอร์ช่วยให้หน่วยงานและบริษัทปรับปรุงคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นไป
- ระบบ ATM
- ระบบเวชระเบียน
- การจัดทำบัตรประชาชนของกระทรวงมหาดไทย
4. การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจ
* การดำเนินธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องร่วมมือกันมากขึ้น
- ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange, EDI)
5. การเพิ่มความสะดวกในการปฏิบัติงาน
6. การเพิ่มคุณภาพการตัดสินใจของผู้บริหาร
- การใช้คอมพิวเตอร์จัดทำระบบสารสนเทศต่าง ๆ
7. การเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
- การออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ทำได้อย่างรวดเร็ว ต้นทุนการดำเนินงานน้อยกว่าคู่แข่ง กำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ดีกว่า
****ทั้งนี้ ขึ้นกับ
- การออกแบบงานประยุกต์ว่าสอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจนั้นหรือไม่
- ความพร้อมของบุคลากร
- การจัดเก็บข้อมูลและการบันทึกข้อมูล
- การยอมรับและการสนับสนุนจากผู้บริหาร
- วิสัยทัศน์ของหน่วยงานในด้านการใช้คอมพิวเตอร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น